
Avatar 2 The Way of Water (2022) อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ ไม่ว่าจะเดินทางไปยังที่ไหน ครอบครัวนี้จะยังคงเป็นปราการคุ้มครองเราเสมอ
ผ่านไปกว่า 10 ปี จากเหตุการณ์ในภาพยนตร์ภาคแรก “อวตาร: วิถีแห่งสายน้ำ” เริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวของครอบครัวซัลลี่ (เจค เนย์ทีรี่ และลูก ๆ ของพวกเขา) และปัญหาที่พวกเขาต้องเผชิญ ทั้งการพยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องสมาชิกในครอบครัว การต่อสู้เอาชีวิตรอด และโศกนาฏกรรมที่พวกเขาต้องพบเจอ–
ตั้งแต่ ‘Avatar’ (2009) หรืออวตารภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีที่แล้ว สิ่งนี้ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันทำให้ เจมส์ คาเมรอน
(James Cameron) ผู้กำกับ เจ้าของโครงเรื่อง ผู้เขียนบท กลายเป็นตัวพ่อผู้มีอิทธิพลในการผลักดันหนังสามมิติอย่างที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนจริงๆ และผลจากการทำงานอย่างยาวนานตลอด 13 ปี ผลที่ได้ก็คือหนังภาคต่อ ที่ว่าด้วยเรื่องของโลกใต้น้ำของดาวแพนดอรา (Pandora) มาตุภูมิของชาวนาวี ใน ‘Avatar: The Way of Water’ ‘อวตาร วิถีแห่งสายน้ำ’ เรื่องนี้นี่แหละครับ
ตัวเรื่องราวใน ‘The Way of Water’ จะห่างจากภาคแรก 10 ปีครับ เจค ซัลลี (Sam Worthington) อดีตนาวิกโยธินในร่างชาวนาวี ณ ตอนนี้กลายเป็นพ่อคนแล้ว เพราะหลังจากที่เธอรักกับ เนย์ทีรี (Zoe Saldana) ทั้งสองคนก็มีลูกด้วยกัน ทั้งลูกจริงๆ อย่าง
นาทายัม (Jamie Flatters) พี่ชายคนโต, โลอัค (Britain Dalton) น้องชายคนเล็ก, ตุกทีรี (Trinity Jo-Li Bliss) น้องสาวคนสุดท้อง รวมทั้งลูกบุญธรรมครึ่งคนครึ่งอวตารอย่าง คิริ (Sigourney Weaver) และ สไปเดอร์ (Jack Champion) เด็กมนุษย์แปลกแยกผู้ใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาวี ความแค้นจากภาคแรก ทำให้ซัลลีและเนย์ทีรีตกเป็นเป้าของ พันเอกไมล์ ควอริตช์ (Stephen Lang) ที่เคยโดนธนูของเนย์ทีรี ซัดม่องเท่งคาหุ่นยนต์ไปในภาคที่แล้ว (ไม่บอกหรอกนะครับว่ากลับมายังไง)
เป้าหมายของหน่วยงาน RDA (Resource Development Administration) เปลี่ยนจุดประสงค์จากการขุดหาแร่ ไปสู่การหาพื้นที่เพื่อให้มนุษย์ตั้งรกรากอาศัย ทำให้การรุกรานพื้นที่ของชาวนาวีบนดาวแพนโดรายิ่งทวีความรุนแรงขึ้น พวกเขาก็เลยจำต้องย้ายอพยพไปอยู่ในดินแดนแห่งสายน้ำร่วมกับชนเผ่าทะเลที่เรียกว่า เม็ตคายีนา (Metkayina) ณ ที่นั้น โตโนวารี (Cliff Curtis) หัวหน้าเผ่า, โรนัล (Kate Winslet), ศิเรยา (Bailey Bass) และ อาวนุง (Filip Geljo) จึงต้องสอนครอบครัว ของซัลลีให้อยู่กับวิถีแห่งสายน้ำให้ได้ พร้อมกับต้องรับมือกับภัยคุกคามที่อันตรายยิ่งกว่าเดิม
สิ่งที่ต้องชื่นชมอย่างแน่ๆ แบบที่ไม่ต้องเดาอะไรให้วุ่นวายก็คงหนีไม่พ้นวิสัยทัศน์ของ เจมส์ คาเมรอน นั่นแหละครับ เพราะว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การผลักดันเทคโนโลยีด้านการถ่ายภาพสามมิติในภาคนี้นั้นไปไกลกว่าภาคแรก และไกลกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ไปไกลมาก โดยเฉพาะงานวิชวลเอฟเฟกต์ที่เรียกว่าหาจุดโป๊ะได้ยากจริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่เหมือนจริง แต่มันสมจริงสุดๆ ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่ผืนน้ำ สัตว์ใต้น้ำ ปะการัง พืชทะเล ที่สวยตื่นตาตั้งแต่ช็อตแรกจนถึงช็อตสุดท้าย ทั้งการทำ Motion Capture ใต้น้ำที่ทำให้ชาวนาวีสามารถดำดิ่งในน้ำได้อย่างเป็นธรรมชาติและพลิ้วไหวอย่างกับไปถ่ายทำในทะเลจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
รวมทั้งการถ่ายทำด้วยเทคโนโลยี High Frame Rate (HFR) ที่ในหนังจะใช้เฟรมเรต 2 แบบสลับกันไปนะครับ คือในฉากที่แอ็กทีฟเยอะๆ อย่างเช่นฉากแอ็กชัน ฉากบิน ฉากวิ่ง ก็จะใช้ Frame Rate ที่ 48 เฟรมต่อวินาที ส่วนฉากอื่นๆ ก็จะกลับมาใช้ 24 เฟรมตามปกติ เพื่อให้ยังคงอารมณ์ความเป็น Cinematic ของหนัง ซึ่งอาจจะทำให้ความลื่นของภาพดูไม่สม่ำเสมอบ้าง แต่ในแง่ฟังก์ชันก็ถือว่าได้ผลและไม่ได้ถือว่าน่ารำคาญตารำคาญใจอะไร ยิ่งถ้าดูในระบบสามมิติจะยิ่งเห็นความแตกต่างเลยครับว่ามันไม่ใช่แค่ภาพเด้งป๊อปอัปเฉยๆ แต่มันมีความลึก ความโค้งนูน ความคม สีสันที่สมจริงซะจนบางทีผู้เขียนยังแอบสะดุ้ง โดยเฉพาะซีนที่เป็น 48 เฟรมนี่คือลื่นหูตาแตกไปเลย
และเทคโนโลยี HDR (High Dynamic Range) ที่ช่วยให้ขอบเขตสีและคอนทราสต์ แสงและเงาที่คมชัดลึกยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ถ้าเทียบกับระบบสามมิติในภาคแรก จะเห็นเลยว่ามันแตกต่างจากภาคแรกเยอะมาก รวมทั้งงานวิชวลเอฟเฟกต์ที่จะนับว่าเป็นที่สุดของวงการหนังโลกไปเลยก็ได้ เพราะนอกจากจะสวยงาม และมีความครีเอทีฟในการออกแบบทั้งพาร์ตธรรมชาติ ระบบนิเวศใต้ทะเล สัตว์น้ำ หรือแม้แต่พาร์ตเทคโนโลยีของ RDA ก็ตาม จะบอกว่าคาเมรอนได้เนรมิตโลกใบใหม่ขึ้นมาอันนี้ก็ถือว่าไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะมันไม่ใช่แค่สวย ไม่ลอยเฉยๆ แต่มันสมจริงและเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ชวนให้ตื่นตา ชนิดที่บรรดาหนังซูเปอร์ฮีโรยุคนี้ควรศึกษางานอย่างเร่งด่วน
วิสัยทัศน์อีกอย่างของลุงคาเมรอนก็คือเรื่องของบทครับ ในขณะที่ภาคแรกนั้นมีความเป็นการเมื้องการเมือง ด้วยเรื่องเล่าในประเด็นเกี่ยวกับการล่าอาณานิคม การแย่งชิงทรัพยากร การสู้รบกับชนพื้นเมือง ฯลฯ แต่ในภาคนี้ ด้วยความที่เรารู้จักชาวนาวีมาตั้งแต่แรก ตัวหนังก็เลยเปิดเรื่องเร็วๆ และหันไปโฟกัสที่ครอบครัวของซัลลีและเนย์ทีรีแทน โทนของตัวหนังก็เลยมีความเป็นหนังครอบครัว กึ่งๆ หนังชีวิตวัยรุ่นว้าวุ่นของเหล่าบรรดาลูกๆ ที่ต่างก็มีปมปัญหาแตกต่างกันไป จากการที่มีทั้งลูกครึ่งอวตารแท้ๆ
ลูกครึ่งอวตารไม่แท้ ไหนจะลูกมนุษย์แท้ๆ ที่อยากเป็นชาวนาวีอีก จนพวกเขาเองต้องมาอยู่อาศัยตามวิถีแห่งสายน้ำ รวมทั้งต้องร่วมต่อสู้กับหน่วย RDA ที่คราวนี้ดูจะมุ่งหมายไปที่ครอบครัวซัลลีเป็นพิเศษ ที่ตัวหนังสามารถเล่าออกมาได้อินและทัชใจมากยิ่งขึ้น เสมือนว่าเราเองก็รู้สึก “I See You.” ไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน
อีกอย่างที่ต้องไม่ลืมก็คือ ‘Avatar’ มันไม่ใช่หนังเดี่ยว แต่มันเป็นแฟรนไชส์หนัง 5 ภาคนะครับ แม้ว่าหนังภาคนี้จะสอบผ่านในแง่บันเทิง แต่ถ้ามองโดยรวมๆ ก็จะพบว่า ทั้งสองภาคนั้นมีแนวทางและแกนเรื่องที่คล้ายกันมากๆ เลย ซึ่งจริงๆ มันก็ไม่ได้เป็นแก่นเรื่องและ Conflict ที่ใหม่สำหรับยุคนี้แล้วซะด้วย มันเป็นพล็อตที่ได้แรงบันดาลใจจากสื่ออื่นๆ ของฮอลลีวูดที่มีมาก่อนแล้วทั้งนั้น
ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่า คาเมรอนเองก็กำลังดูกระแสภาคนี้อยู่ เพราะถ้าหากรายได้ไม่ถึงเป้า ลุงแกก็เตรียมทำหมันแฟรนไชส์ไว้ที่ 3 ภาคถ้วน ซึ่งในความคิดของผู้เขียนจริงๆ มันก็สามารถมีโอกาสไปถึงภาค 5 ได้ล่ะนะครับ โดยเฉพาะงานด้านโปรดักชันที่ผู้เขียนเชื่อว่ายังพอจะมีช่องให้ดันมาตรฐานขึ้นไปได้อีก
อย่างไรก็ตาม ‘Avatar: The Way of Water’ ก็เป็นหนังที่ผู้เขียนนั่งยันนอนยันว่า ยังไงก็ต้องไปดูในโรงนะครับ
โอเค มันอาจเป็นหนังพล็อตง่ายๆ ที่ไม่ได้ซับซ้อนจนต้องร้องโอ้โห แต่ยังไงมันก็เป็นหนังที่สนุกและให้ความบันเทิงได้ครบตามแบบฉบับคาเมรอนจริงๆ นั่นแหละ แล้วก็เป็นเหมือนกึ่งๆ บทพิสูจน์ด้วยว่าคาเมรอนคือเจ้าพ่อหน้งภาคต่อจริงๆ มันเป็น 13 ปีที่ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการ และวิวัฒนาการของงานด้านภาพและโปรดักชันที่ให้ความบันเทิงได้เหนือขึ้นไปอีกขั้นจริงๆ ยิ่งถ้าดูในระบบ IMAX3D ที่ฉายผ่านเครื่อง IMAX with Laser จะยิ่งให้ประสบการณ์การดูหนังที่เติมเต็มสุดๆ เป็นประสบการณ์ภาพยนตร์แห่งปีที่ต่อให้รอดูสตรีมมิงที่บ้านได้ แต่ถ้าพลาดไปก็น่าเสียดายอยู่นะครับ อวตาร 2 เต็มเรื่องฟรี
ชื่อเรื่อง : Avatar: The Way of Water (อวตาร : วิถีแห่งสายน้ำ)
ปีที่เข้าฉาย : 2022
ผู้กำกับ : James Cameron
ประเภท : แฟนตาซี / แอ็คชั่น / ไซไฟ
ความยาว : 3 ชั่วโมง 12 นาที
ระบบเสียง : พากย์ไทยและบรรยายไทย